Sentence (ประโยค)
Sentence ประโยค เป็นกลุ่มคำที่มาประกอบกันให้มีเนื้อหาสมบูรณ์ โดยทั่วไปประโยคจะมี 2 ภาค คือ Subject (ภาคประธาน) และ predicate ( ภาคแสดง) ตัวอย่างเช่น
Subject | Predicate |
He | Lives in Bangkok. |
None of the students | Knew the answer. |
ถ้าแบ่งชนิดประโยคตามวัตถุประสงค์ (purpose) จะมีประโยคชนิดต่างๆ 5 ชนิด คือ
1. ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentences)
2. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentences)
3. ประโยคคำถาม (Interrogative Sentences)
4. ประโยคคำสั่ง (Imperative Sentences)
5. ประโยคอุทาน (Exclamatory Sentences)
1. ประโยคบอกเล่า ( Declarative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา ไม่อยู่ในรูปคำถาม ปฏิเสธ อุทาน หรือ ขอร้องและบังคับ ตัวอย่างเช่น
- I am studying at a university in England.
ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
- Rome is the capital city of Italy.
โรมคือเมืองหลวงของประเทศอิตาลี
1. ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentences)
2. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentences)
3. ประโยคคำถาม (Interrogative Sentences)
4. ประโยคคำสั่ง (Imperative Sentences)
5. ประโยคอุทาน (Exclamatory Sentences)
1. ประโยคบอกเล่า ( Declarative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความบอกเล่าตามธรรมดา ไม่อยู่ในรูปคำถาม ปฏิเสธ อุทาน หรือ ขอร้องและบังคับ ตัวอย่างเช่น
- I am studying at a university in England.
ผมกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ
- Rome is the capital city of Italy.
โรมคือเมืองหลวงของประเทศอิตาลี
2. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น
- Good children should not be rude to the elders.
เด็กดีไม่ควรทำตัวหยาบคายกับผู้ใหญ่
- Thailand is not the largest country in the world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- Good children should not be rude to the elders.
เด็กดีไม่ควรทำตัวหยาบคายกับผู้ใหญ่
- Thailand is not the largest country in the world.
ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก
3. ประโยคคำถาม ( Interrogative Sentence ) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเป็นคำถาม เพื่อ ต้องการทราบคำตอบ ตัวอย่างเช่น
- Are you a native here ?
คุณเป็นคนที่นี่หรือ ?
- What is Buddhism?
พระพุทธศาสนาคืออะไร?
4. ประโยคขอร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือบังคับให้กระทำ ตัวอย่างเช่น
ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง เช่น
- I beg your pardon.
ผมขอโทษ
- You should follow my words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
5. ประโยคอุทาน ( Exclamation Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเปล่งอุทานขึ้น มีทั้ง ตกใจ ปะหลาดใจ เศร้าใจ ดีใจ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
How nice she is !
หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
What the hottest month it is!
มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
- Are you a native here ?
คุณเป็นคนที่นี่หรือ ?
- What is Buddhism?
พระพุทธศาสนาคืออะไร?
4. ประโยคขอร้องหรือบังคับ ( Imperative Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความขอร้องหรือบังคับให้กระทำ ตัวอย่างเช่น
ประโยคที่มีเนื้อความขอร้อง เช่น
- I beg your pardon.
ผมขอโทษ
- You should follow my words.
ท่านควรทำตามคำพูดของผม
5. ประโยคอุทาน ( Exclamation Sentence) ได้แก่ ประโยคที่มีเนื้อความเปล่งอุทานขึ้น มีทั้ง ตกใจ ปะหลาดใจ เศร้าใจ ดีใจ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
How nice she is !
หล่อนช่างดูดีจริงๆ !
What the hottest month it is!
มันช่างเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอะไรเช่นนี้ !
การทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ
1. ถ้าในประโยคบอกเล่ามี verb to be (is, am, are, was, were) เป็นกริยาแท้ ให้เติม not หลัง verb to be เช่น
Smith is an engineer. >>>
Smith is not an engineer
หรือ Smith isn’t an engineer.
2. ถ้าในประโยคบอกเล่ามีกริยาช่วยให้ใส่ not หลังกริยาช่วย กริยาช่วย ได้แก่ is, am, are, was, were, have, has, had, can, could, may, might, shall, should, would, must etc.
Jim will leave tomorrow. >>>
Jim will not leave tomorrow.
หรือ Jim won’t leave tomorrow.
3.ถ้าในประโยคบอกเล่าไม่มี verb to be หรือกริยาช่วยให้ใช้ verb to do (do, does, did) ช่วย โดยเติม not หลัง do, does, did
Students go to school everyday. >>>
Students do not go to school everyday.
* เราใช้ did ถ้าคำในประโยคเป็น Past Tense
* เราใช้ do กับ I, we, they และคำที่เป็นพหูพจน์
* เราใช้ does กับ he, she, it และคำที่เป็นเอกพจน์
Smith is an engineer. >>>
Smith is not an engineer
หรือ Smith isn’t an engineer.
2. ถ้าในประโยคบอกเล่ามีกริยาช่วยให้ใส่ not หลังกริยาช่วย กริยาช่วย ได้แก่ is, am, are, was, were, have, has, had, can, could, may, might, shall, should, would, must etc.
Jim will leave tomorrow. >>>
Jim will not leave tomorrow.
หรือ Jim won’t leave tomorrow.
3.ถ้าในประโยคบอกเล่าไม่มี verb to be หรือกริยาช่วยให้ใช้ verb to do (do, does, did) ช่วย โดยเติม not หลัง do, does, did
Students go to school everyday. >>>
Students do not go to school everyday.
* เราใช้ did ถ้าคำในประโยคเป็น Past Tense
* เราใช้ do กับ I, we, they และคำที่เป็นพหูพจน์
* เราใช้ does กับ he, she, it และคำที่เป็นเอกพจน์
ประโยคคำถาม (interrogative Sentences)
Yes – No Question คือประโยคคำถามที่ต้องการตอบว่า yes หรือ no
Wh - Question คือประโยคคำถามที่ต้องการข้อมูลบางอย่าง เป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำที่ใช้สำหรับตั้งคำถามซึ่งขึ้นต้นด้วยตัวอักษร wh หรือ h ซึ่งได้แก่ what, when, where, why, how, who, which
วิธีเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถามแบบ Yes – No Question
1. ในกรณีที่ประโยคบอกเล่าประกอบด้วย verb to be, verb to have หรือ กริยาช่วย ให้ย้าย verb to be, verb to have หรือ กริยาช่วยไปไว้หน้าประธานของประโยค แล้วใส่เครื่องหมายคำถามท้ายประโยค
They are very kind >>>
Are they very kind?
2. ในกรณีที่ประโยคไม่มี verb to be, verb to have หรือกริยาช่วยให้ใช้ do, does, did มาช่วยวางไว้หน้าประธาน
Jack lived in Udon Thani Last year. >>>
Did Jack live in Udon Thani last year.
Yes – No Question คือประโยคคำถามที่ต้องการตอบว่า yes หรือ no
Wh - Question คือประโยคคำถามที่ต้องการข้อมูลบางอย่าง เป็นคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำที่ใช้สำหรับตั้งคำถามซึ่งขึ้นต้นด้วยตัวอักษร wh หรือ h ซึ่งได้แก่ what, when, where, why, how, who, which
วิธีเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถามแบบ Yes – No Question
1. ในกรณีที่ประโยคบอกเล่าประกอบด้วย verb to be, verb to have หรือ กริยาช่วย ให้ย้าย verb to be, verb to have หรือ กริยาช่วยไปไว้หน้าประธานของประโยค แล้วใส่เครื่องหมายคำถามท้ายประโยค
They are very kind >>>
Are they very kind?
2. ในกรณีที่ประโยคไม่มี verb to be, verb to have หรือกริยาช่วยให้ใช้ do, does, did มาช่วยวางไว้หน้าประธาน
Jack lived in Udon Thani Last year. >>>
Did Jack live in Udon Thani last year.
แบบฝึกหัด
1. รูปประโยคปฏิเสธของ Bruce was at home yesterday. คือ
1.Bruce not was at home yesterday.
2.B. Bruce was not at home yesterday.
3.Bruce not at home yesterday.
1.Bruce not was at home yesterday.
2.B. Bruce was not at home yesterday.
3.Bruce not at home yesterday.
2. รูปประโยคปฏิเสธของ Jane will come to see you tomorrow. คือ
1.Jane will not come to see you tomorrow.
2.Jane shall not come to see you tomorrow.
3.Jane not come to see you tomorrow.
1.Jane will not come to see you tomorrow.
2.Jane shall not come to see you tomorrow.
3.Jane not come to see you tomorrow.
3. รูปประโยคปฏิเสธของ Sompong studies English everyday. คือ
1.Sompong does not study English everyday.
2.Sompong does not studies English everyday.
3.Sompong do not study English everyday.
4.Sompong not studies English everyday.
1.Sompong does not study English everyday.
2.Sompong does not studies English everyday.
3.Sompong do not study English everyday.
4.Sompong not studies English everyday.
4. รูปประโยคปฏิเสธของ The children like to watch cartoons. คือ
1.The children does not like to watch cartoons.
2.The children do not like to watch cartoons.
3.The children did not like to watch cartoons.
5.ประโยค Thai food is popular in America. เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคำถาม จะเป็น
1.Is Thai food popular in America ?
2.Does Thai food popular in America ?
3.Is popular in America Thaifood ?
1.The children does not like to watch cartoons.
2.The children do not like to watch cartoons.
3.The children did not like to watch cartoons.
5.ประโยค Thai food is popular in America. เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคำถาม จะเป็น
1.Is Thai food popular in America ?
2.Does Thai food popular in America ?
3.Is popular in America Thaifood ?
6.ประโยค Somsri works hard everyday. เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคำถาม จะเป็น
1.Does Somsri work hard everyday ?
2.Does Somsri works hards everyday ?
3.Do Somsri work hard everyday ?
4.Did Somsri work hard everyday ?
1.Does Somsri work hard everyday ?
2.Does Somsri works hards everyday ?
3.Do Somsri work hard everyday ?
4.Did Somsri work hard everyday ?
7.ประโยค we studied English last year. เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคำถาม จะเป็น
1. Do we study English last year ?
2. Did we studied English last year ?
3. Did we study English last year ?
4. Does we study English last year ?
1. Do we study English last year ?
2. Did we studied English last year ?
3. Did we study English last year ?
4. Does we study English last year ?
Answers:
1.B
2.A
3.A
4.B
5.A
6.A
7.C
1.B
2.A
3.A
4.B
5.A
6.A
7.C
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น