Nouns ( คำนาม
)
Nouns Types ( ชนิดของคำนาม )
Nouns Types ( ชนิดของคำนาม )
คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี 4 แบบ คือ แบบที่ 1 แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท แบบที่ 2 แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท แบบที่ 3 แบ่งคำนามเป็น 4 ประเภท แบบที่ 4 แบ่งคำนามเป็น 7 ประเภท ซึ่ง ใน 7 ประเภทนี้ 3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns และ mass nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม common nouns ได้ดังนี้ |
2 ประเภท |
3 ประเภท
|
4 ประเภท
|
7 ประเภท
|
Common Nouns Proper Nouns |
Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns |
Common Nouns Proper Nouns Abstract Nouns Collective Nouns |
1. Common Nouns 2. Proper Nouns 3. Abstract Nouns 4. Collective Nouns 5. Material Nouns 6. Concrete Nouns 7. Mass Nouns |
1.Common Noun ( นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
สถานที่ city, hill, road, stadium, school,company
เหตุการณ์ revolution, journey, meeting
ความรู้สึก fear, hate, love
เวลา year, minute, millennium
- Common Nouns เป็นได้ทั้ง
นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้
( Uncountable )
Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
มีตัวตน เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
ไม่มีตัวตน เช่น day, month, year, action, feeling
Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
มีตัวตน เช่น furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
ไม่มีตัวตน เช่น music, love, happiness, knowledge, advice , information
|
Common countable
|
Common uncountable
| ||
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
|
indefinite(ไม่เจาะจง)
|
definite(เจาะจง)
| |
Singular
|
a cow
|
the cow
|
milk
|
the milk
|
plural
|
cows
|
the cows
|
-
|
-
|
- Common Nouns
จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค
ตัวอย่าง
Ther are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ ) จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
- เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ
Common Noun เช่น
ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak , Tom, Daeng
ชื่อสถานท ี่ ( Place Name) เช่น Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
- Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
- Proper Nouns ปกติจะไม่มี
determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์
)
the United States, the Himalayas
แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
- เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common Nouns | Proper Nouns |
dog | Lassie ( ชื่อของสุนัข ) |
boy | Jack ( ชื่อของเด็กชาย) |
car | Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ ) |
month | January ( ชื่อของเดือน) |
road | Sukhumvit ( ชื่อถนน ) |
university | Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย) |
ship | U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ ) |
country | Thailand (ชื่อประเทศ ) |
คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract
Nouns ที่มาจากคำกริยา |
Abstract
Nouns ที่มาจากคำคุณศัพท์ |
Abstract
Nouns ที่มาจากคำนาม |
decision - to decide | beauty - beautiful | infancy - infant |
thought - to think | poverty - poor | childhood - child |
Imagination - to imagine | vacancy - vacant | friendship - friend |
speech - to speak | happiness - happy | |
growth - to grow | wisdom - wise |
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์ : The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
(ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์)
เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )
Collective noun บางคำมีความหมายเป็น พหูพจน์เท่านั้น เช่น people, police, cattle
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of +common noun ตัวอย่างเช่น
a flock of birds | a group of students |
a flock of sheep | a pack of cards |
a herd of cattle | a bunch of flowers |
a fleet of ships | a kilo of pork |
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
- เป็น common nouns
ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้
เช่น
ธาต ุ: iron, gold, air, copper
สารธรรมชาติ , สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
ของเหลวต่างๆ : water, coffee, wine, tea, milk
อาหาร : rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad - แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity) เช่น
a bowl of rice
two boxes of cereal five bottles of beer a cup of tea three bars of soap |
two glasses of
water a loaf of bread a slice of pizza a piece of paper a quart of milk |
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )
พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต : I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7. Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
- จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์
- ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า
ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
Blood is thicker than water. เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
Depression often affects women immediately following the birth of their babies
ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
หมายเหตุ
* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7 ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้ โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
|
ประเภทคำนาม
|
ประเภทย่อย
|
ประเภทย่อย
|
ตัวอย่าง
|
Proper
nouns
|
||||
Common
nouns
|
Countable
nouns
|
Concrete
|
chair,book,student | |
Collective
nouns
|
two flocks of birds ,people | |||
Uncountable
Nouns
|
Concrete
nouns
|
ice cream,oil,water | ||
Mass
Nouns
|
furniture,money,honesty | |||
Material
nouns
|
water,bread,oxygen,gold | |||
Abstract
nouns
|
honesty, friendship,honesty |
ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
Common Nouns
|
Proper Nouns
| |||||
Countable Nouns
|
Uncountable Nouns
|
Singular
|
Plural
| |||
Singular
|
Plural
|
Singular
|
Plural
|
ไม่มี
article
( John ) |
the
( the Jones ) | |
ชี้เฉพาะ
( definite ) |
the
( the boy ) |
the
( the boys ) |
the
( the water ) |
-
| ||
ไม่เฉพาะ
(indefinite ) |
a/an
( a tiger ) |
ไม่มี
article
( tiger ) |
ไม่มี
article
( water ) |
-
|
-
|
แบบฝึกหัด
จงแยกหมวดหมู่ของคำนามต่อไปนี้
Man | Girl | Betty | Pacific | England | Street |
Smith | Car | Airways | PB Air | Ocean | Princess |
AIS | House | Cinderella | Bird | Peter Pan | Plant |
General Noun | Proper Noun | ||||
Gas | Marble | Water | Milk | Car | Pen |
Ink | Tree | Tea | Chocolate | Bag | Bread |
Table | Duck | sugar | Orange juice | coffee | chair |
Countable Noun | Uncountable Noun | ||||
เฉลยแบบฝึกหัด
จงแยกหมวดหมู่ของคำนามต่อไปนี้
Man | Girl | Betty | Pacific | England | Street |
Smith | Car | Airways | PB Air | Ocean | Princess |
AIS | House | Cinderella | Bird | Peter Pan | Plant |
General Noun | Proper Noun | ||||
Man Girl Car
Airways House Street Ocean Bird Princess Plant |
Betty Smith AIS
Cinderella Pacific England PB Air Peter Pan |
Gas | Marble | Water | Milk | Car | Pen |
Ink | Tree | Tea | Chocolate | Bag | Bread |
Table | Duck | sugar | Orange juice | coffee | chair |
Countable Noun | Uncountable Noun | ||||
Table Marble Tree Duck
Car Bag Pen Chair |
Gas Ink Water Tea
Sugar Milk Chocolate Orange juice Coffee Bread |
นอกจากคำนามข้างต้นแล้วก็ยังมีคำนามอีกประเภทหนึ่งที่เรามักพบบ่อยๆในชีวิตประจำวันทั้งภาษาพูดภาษาเขียน นั่นคือ
Noun
Clause
อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม
Big John thinks he should practice meditation twice a week.
บิ๊ก จอห์นคิดว่าเขาควรจะฝึกสมาธิอาทิตย์ละครั้ง
Sam thinks he had better stop smoking now.
แซมคิดว่าเขาควจะหยุดสูบบุหรี่แล้วตอนนี้
We all hope you will be happy with our service.
ทางเราหวังว่าคุณจะมีความสุขกับการของเราน๊ะครับ
I don’t understand Big John wants to convey.
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ Big John ต้องการจะสื่ออะไร/ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ Big John ต้องการจะสื่อเลย
จากตัวอย่างประโยคข้างต้นบางครั้งบางครั้งมักสร้างความสับสนไม่น้อยให้กับผู้เรียน เพราะมีการละ (omit) relative pronoun ทิ้ง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าประโยคที่ตามหลังเป็นอนุประโยค (subordinate clause/dependent clause) ซึ่งประโยคเต็มคือ
Big John thinks (that) he should practice meditation twice a week.
Sam thinks (that) he had better stop smoking.
We hope (that) you will be happy with our service.
I don’t understand (what) Big John wants to convey. หน้าที่และตำแหน่งของ noun clause
1.มีตำแหน่งอยู่หน้าประโยคหรือหน้ากริยาทำหน้าที่เป็นประธานในประโยค (Subject noun clause)
2.มีตำแหน่งอยู่หลังกริยา ทำหน้าที่เป็นกรรม (Object noun clause)
3.มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท ทำหน้าที่เป็นกรรมของบุรพบท (Object of preposition)
4.มีตำแหน่งอยู่หลัง V.to be ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายประธาน (Subject complement)
1.หน้าที่เป็นประธานอยู่หน้าประโยค (Subject)
โดยปกติแล้ว คำนามหรืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นประธานในประโยคมักจะปรากฏอยู่หน้ากริยาหรือหน้าประโยค ตัวอย่างเช่น
What Big John ought to do now is concentrating on working.
สิ่งที่บิ๊ก จอห์นควรจะทำตอนนี้ก็คือตั้งใจทำงาน
จากประโยคข้างต้น what Big John ought to do noun เป็น noun clause อยู่หน้าประโยค ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
What they should do during meditating is keeping silent.
สิ่งที่พวกเขาควรจะทำในระหว่างที่ปฏิบัติธรรมนั่นคือการรักษาสงบ/ ไม่ส่งเสียงดัง
จากประโยคข้างต้น what they should do during meditating เป็น noun clause อยู่หน้าประโยค ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
What he said drives her angry.
สิ่งที่เขาพูดทำให้หล่อนโกรธ
จากประโยคข้างต้น what he said เป็น noun clause อยู่หน้าประโยค ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค2.ทำหน้าเป็นกรรมของกริยา (Subject of verb) ตำแหน่งอยู่หลังกริยา
ตัวอย่างเช่น
I suggest you that you should go to a movie with me tonight.
ผมแนะนำว่าคุณควรจะไปดูหนังกับผมคืนนี้
จากประโยคข้างต้น that we should go to a movie tonight อยู่หลังกริยา suggest เป็นกรรมตรง (Direct object) ของ suggest ตามหลังกรรมรอง (Indirect object)
I don’t understand what you all are talking about.
ผมไม่เข้าว่าพวกคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่
จากประโยคประโยค what you all are talking about เป็นกรรม (object) ของ understand
If you know what is best for you, you should keep doing it.
ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งไหนที่ดีกับตัวคุณ คุณควรจะทำหรือสานต่อมันไปเรื่อยๆ
จากประโยคประโยค what is best for you เป็นกรรม (object) ของ know
My mum only wants what is best for me.
แม่ของผมเพียงต้องการให้ผมเจอหรือพบแต่สิ่งที่ดีที่สุด
จากประโยคประโยค what is best for you เป็นกรรม (object) ของ wants
I know what is best of me.
ผมรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวผม
จากประโยคประโยค what is best of you เป็นกรรม (object) ของ know
She loves and who he is always and forever.
หล่อนรักในสิ่งที่เป็นเขาเสมอและจะรักตลอดไป
จากประโยคประโยค what is best of you เป็นกรรม (object) ของ know
I don’t care how old you are, who you are, where you are from and what religion you believe.
ฉันไม่สนใจว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ หรือคุณเป็นใคร มาจากไหน หรือจะนับถือศาสนาอะไร
จากประโยคมี Noun clauses 3 ตัวคือ how old you are, who you are, where you are from, what religion you believe ทุกตัวมีตำแหน่งอยู่หลังกริยา care ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา care
You should do what I told you.
คุณควรจะทำสิ่งในสิ่งที่ผมได้บอกคุณไปแล้ว
จากประโยคประโยค what I told you เป็นกรรม (object) ของ do
I don’t know where Big John is.
ผมไม่รู้ว่าบิ๊ก จอห์นอยู่ที่ไหน
จากประโยคประโยค where Big John is เป็นกรรม (object) ของ know 3.มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท ทำหน้าที่เป็นกรรมของบุรพบท (Object of preposition)
ตัวอย่างเช่น
Big John knows all along about what is best for him.
บิ๊ก จอห์นรู้มาโดยตลอดเกี่ยวกับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาคืออะไร
จากประโยคข้างต้น what he want is best for him เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท (Preposition) about ทำหน้าที่เป็นกรรมของ about
I thank you so much for what you gave to me all along.
ผมขอบคุณมากๆสำหรับสิ่งที่คุณหยิบยื่นให้ผมมาโดยตลอด
จากประโยคข้างต้น what you gave to me เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท (Preposition) for ทำหน้าที่เป็นกรรมของ for
Sam knows all along about what he wants the most in his life.
แซมรู้มาโดยตลอดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในชีวิตของเขา
จากประโยคข้างต้น what he wants the most in his life เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท (Preposition) about ทำหน้าที่เป็นกรรมของ about
The pupils don’t pay attention to listening to what their teacher are teaching.
จากประโยคข้างต้น what their teacher are teaching เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท (Preposition) to ทำหน้าที่เป็นกรรมของ to
Big John is always proud of where he was born.
บิ๊ก จอห์นภูมิใจในบ้านเกิดของตนเองเสมอ
จากประโยคข้างต้น where he was born เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท (Preposition) of ทำหน้าที่เป็นกรรมของ of
You shouldn’t be ashamed of who you are.
คุณไม่ควรละอายว่าคุณเป็นใคร
จากประโยคข้างต้น who you are เป็นคำนาม มีตำแหน่งอยู่หลังบุรพบท (Preposition) of ทำหน้าที่เป็นกรรมของ of
I hope you will be blissful with what you do.
ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำน๊ะ 4.มีตำแหน่งอยู่หลัง V.to be ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายประธาน (Subject complement)
ตัวอย่างเช่น
She is who he wants the most in his life.
เธอคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในชีวิต
จากประโยคข้างต้น who he wants the most in his life มีตำแหน่งอยู่หลังกริยาช่วย (V.to be) is ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายหรือเป็นส่วนสมบูรณ์ของประธาน She เพื่อบ่งชี้หรือขยายความว่า She คือใคร
Practicing meditation is what makes your mind pure, tranquil and stable.
การฝึกสมาธิคือสิ่งที่ทำให้จิตของคุณสะอาด สงบ มั่นคงแน่วแน่ไม่วอกแวก
The stability of life is what Big John wants the most in his life.
ความมั่นคงในชีวิตคือสิ่งที่บิ๊ก จอห์นต้องการที่สุด
จากประโยคข้างต้น what Big John wants the most in his life มีตำแหน่งอยู่หลังกริยาช่วย (V.to be) is ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายหรือเป็นส่วนสมบูรณ์ของประธาน the stability of life เพื่อบ่งชี้หรือขยายความ the stability of life
Keeping silent is what you should do during practicing meditation.
การรักษาความสงบไม่ส่งเสียงดังคือสิ่งที่ควรกระทำระหว่างที่ปฏิบัติธรรม
จากประโยคข้างต้น what you should do during practicing meditation มีตำแหน่งอยู่หลังกริยาช่วย (V.to be) is ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายหรือเป็นส่วนสมบูรณ์ของประธาน keeping silent เพื่อบ่งชี้หรือขยายความ keeping silent
Amanda is who Big John used to love before.
อแมนด้าคือผู้หญิงคนที่บิ๊ก จอห์นเคยรักมาก่อน
จากประโยคข้างต้น who Big John used to love before มีตำแหน่งอยู่หลังกริยาช่วย (V.to be) is ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายหรือเป็นส่วนสมบูรณ์ของประธาน Amanda เพื่อบ่งชี้หรือขยายประธาน Amanda
Kissing and cuddling are what you all ought not to perform in the abbey or any other sacred places.
การกอดและการจูบกันคือสิ่งที่พวกคุณไม่ควรกระทำภายในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
จากประโยคข้างต้น what you all ought not to perform in the abbey or any other sacred places มีตำแหน่งอยู่หลังกริยาช่วย (V.to be) are ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายหรือเป็นส่วนสมบูรณ์ของประธาน Kissing and cuddling เพื่อบ่งชี้หรือขยายประธาน Kissing and cuddling
หน้าของ Noun clause ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม
สำหรับ Noun clause ที่ทำหน้าที่เป็นกรรมนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1.Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "that"
2.Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย "Wh-Words" (Question Words)
3.Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "if" หรือ "whether"
1. การใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "That"
การใช้ noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย that มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.1. ใช้ตามหลังกริยา (Verb) บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือ ความคิดเห็น เช่น think, feel, remember, know, suggest, believe, forget, realize, think, doubt, hope, recognize, understand, agree ตัวอย่างเช่น
We think that we’ve got to go now.
พวกเราคิดว่าพวกเราจะต้องไปแล้วล่ะตอนนี้
Big John knows all along that his mum loves him so much.
บิ๊ก จอห์นรู้มาโดยตลอดว่าแม่รักเขามากๆ
1.2. ถ้าเป็นภาษาพูด เรามักจะละคำว่า that ซึ่งเป็น relative pronoun หรือคำขึ้นที่ขึ้นต้นอนุประโยค (clause) เช่น
He thinks that he should give up talking now. (Formal, written language)
He thinks he should give up talking now. (Informal, spoken language)
เขาคิดว่าเขาควรจะหยุดพูดเสียทีตอนนี้
1.3. ส่วนใหญ่กริยา (verb) ที่ปรากฏอยู่ใน main clause มักจะเป็น Present Simple Tense ธรรมดาส่วนกริยา (Verb) ใน noun clause จะเป็น tense อะไรก็ได้ เช่น
I think Big John is writing his column now.
ผมคิดว่าบิ๊ก จอห์นกำลังเขียนคอลัมน์ของเขาอยู่ตอนนี้
I think Big John will write his column soon.
ผมคิดว่าบิ๊ก จอห์นจะเขียนคอลัมน์ของเขาในเร็วๆนี้
I think Big John has already written his column a moments ago.
ผมคิดว่าบิ๊กจอห์น ได้เขียนคอลัมน์ของเขาเสร็จแล้วเมื่อครู่ที่ผ่านมา
1.4. ในการสนทนา ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด noun clause ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clause ได้ เช่น
Dave: Do you think that Sarah will come here tomorrow morning?
Big John: I think so.
(So แทน that Sarah will come here tomorrow morning.)
Darren: Do you expect that your kid gets a good grade?
Remco: I expect so.
(So แทน that my kid gets a good grade.)
Natalie: Are we ready to move into this house?
kate: I’m afraid not.
(not แทน that we are not ready to move into this house.)
2. การใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words
การใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words (what, where, when, why,who, how) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
2.1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Indirect wh-questions และแม้ว่า noun clause เหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับคำ (word order) ในอนุประโยคนี้ จะเป็นลำดับคำของประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ลำดับคำของประโยคคำถาม เช่น
I can’t tell you where he lives now.
ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน
จากประโยคข้างต้นนั้นเราจะไม่ใช้ where does he live now แต่จะใช้ where he lives now
I don’t know why he comes here very often.
ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่บ่อยนัก
จากประโยคข้างต้นนั้นเราจะไม่ใช้ why does he come here very often แต่จะใช้ why he comes here very often
Big John attempts to keep finding who he is nowadays.
ทุกวันนี้ บิ๊ก จอห์นพยายามที่จะค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ
จากประโยคข้างต้นนั้นเราจะไม่ใช้ who is he nowadays แต่จะใช้ who he is nowadays
I don’t know what you want from me.
ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากผมอีก
จากประโยคข้างต้นเราจะไม่ใช้ what do you want from me แต่จะใช้ what you want from me.
2.2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause กล่าวคือ ถ้า main clause เป็นคำถามจะใช้เครื่องหมาย question mark ปิดประโยค ถ้า main clause เป็นบอกเล่า จะใช้เครื่องหมาย full stop ปิดประโยค เช่น
Could you tell me where Big John works so far?
คุณบอกผมจะได้ไหมครับว่าบิ๊ก จอห์นทำงานที่ไหนทุกวันนี้
จากประโยคข้างต้นเราจะสังเกตุเห็นว่า Main clause เป็นคำถามดังนั้นจึงมีเครื่องหมายคำถามปิดประโยค
I know why she loves me.
ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงรักฉัน
จากประโยคข้างต้นเราจะสังเกตุเห็นว่า Main clause เป็นบอกเล่าดังนั้นจึงมีเครื่องหมาย full stop ปิดประโยค
2.3. ใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า เราไม่รู้ หรือเราไม่แน่ใจ เช่น
I don’t know how much it takes from here to there.
ผมไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ไม่ที่นั่นเท่าไหร่
Big John can’t estimate how much his mum loves him.
บิ๊ก จอห์นไม่สามารถจะประมาณได้ว่าแม่รักเขามากแค่ไหน (ยากที่จะประมาณความรักของแม่ที่มีต่อลูก มากมายเหลือคณานับ)
I can’t fix how much time you take to do this project.
ผมไม่สามารถไปกำหนดว่าคุณจะใช้เวลามากเท่าไหร่ในการทำโครงการนี้
2.4. ใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ เช่น
Could you tell me where Big John is at the moment?
คุณจะบอกผมได้ไหมว่าบิ๊ก จอห์นอยู่ที่ไหนในขณะนี้
Can you tell me what time it is now?
บอกผมได้ไหมว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว 3. การใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย If หรือ Whether
การใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
3.1. Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no questions นั่นเอง เช่น Direct Question: Did they pass the exam?
Indirect Question: I don’t know if they passed the exam.
ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือ noun clause ที่ขึ้นต้นด้วย if นั่นเอง
3.2. ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words
3.3. จะขึ้นต้น Noun Clause ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้ แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ เช่น
Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea.
Tell me if you want to go with us or not.
3.4. ใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคิดคำนึง เช่น
I can’t remember if I had already paid him.
I wonder whether he will arrive in time.
3.5. ใช้ Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ เช่น
Do you know if the principal is in his office.
Can you tell me whether the tickets include drinks?
Added & edited info by Big John
Published: June 2,2011
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Noun form ผู้ใช้ระบบสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่บทเรียนต่อไปนี้
Word Forms
Her suggestions benefit us so much ---------------------รูปคำนาม (Noun form)
คำแนะนำของหล่อนเป็นประโยชน์ต่อทางเราเป็นอย่างมาก
Big John always suggests her to see the dentist.-------รูปกริยา (Verb form)
บิ๊ก จอห์นแนะนำหล่อนให้ไปหาหมอฟันเสมอ
Thank you for your suggestive information.--------------รูปคำคุณศัพท์ (Adjective form)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลแนะนำ
Big John said to Sarah suggestively that she should think of everything possitively. ----รูปคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb form)
บิ๊ก จอห์นพูดกับซาร่าห์ในเชิงแนะนำว่าหล่อนควรจะคิดในแง่บวก
จากคำอธิบายข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า คำว่า suggest สามารถจำแนกรูปแบบคำ (Word forms) ออกมาได้ตั้งมากมาย สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นปัญหาและอุปสรรคกับใครหลายคนที่เรียนภาษาอังกฤษ
รูปแบบของคำ (Word forms)
รูปแบบของคำ (Word forms) โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ดังนี้
1.รูปนาม (Noun forms)
2.รูปกริยา (Verb forms)
3.รูปคุณศัพท์ (Adjective form)
4.รูปคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb forms)
รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับรูปคำแบบต่างๆมีดังต่อไปนี้
1. รูปนาม (Noun forms)
นอกจากตำแหน่งและหน้าที่ในประโยคแล้ว คำเติมท้าย (Suffixes) ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้เรียนทราบได้ง่ายขึ้นว่าคำไหนเป็นคำนาม (Noun forms) หรือรูปคำแบบอื่นๆ ตัวอย่างเช่น
คำที่เกี่ยวกับบุคคล
- ian------politician (นักการเมือง)
- ist-------Scientist (นักวิทยาศาสตร์)
- ee-------employee (ลูกจ้าง)
- or-------investor (นักประดิษฐ์)
ตัวอย่างที่เกี่ยวกับสาขาวิชา
- ogy-----------biology (ชีววิทยา)
- ic (s)---------politics (การเมือง)
- ation---------administration (การบริหาร)
- y--------------chemistry (เคมี)
- ce-------------science (วิทยาศาสตร์)
นอกจากนี้แล้วยังมีคำนามที่ลงท้ายด้วยคำอื่นๆ (Suffixes) ดังต่อไปนี้
- acy
- age
- ance
- ant
- ary
- ate
- ation
- dom
- en
- ence
- ent
- ery
- ess
- ful
- hood
- ia
- ide
- in
- ing
- ion
- ism
- ite
- ling
- ment
- ness
- ocracy
- ry
- ship
- ster
- ty
- ive
- y2. รูปกริยา (Verb forms)
โดยปกติแล้วกริยา (Verb) ใช้เพื่อแสดงการกระทำของประธาน (Subject) และยังบอกถึงเรื่องเวลาของการกระทำเช่น เวลาปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต กริยาสามารถบอกช่วงเวลา ความสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ของการกระทำ และยังสามารถบอกเวลาได้ด้วยว่า บุคคลหรือสิ่งของนั้นเป็นผู้กระทำหรือเป็นผู้ถูกกระทำ และยังแสดงอารมณ์ความรู้สึกของผู้พูดที่มีต่อการกระทำนั้นๆ
รูปกริยา (Verb forms) นั้นเกิดขึ้นจากการเพิ่มคำเติมท้าย (Verb endings)เข้ามา ตัวอย่างเช่น
- ate-------------circulate
- ed--------------invented
- en--------------sharpen
- er--------------discover
- ing------------developing
- ify-------------electrify
- ize------------politicize
หากเราสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าที่มาของกริยาบางคำนั้นมาจากคำต่างๆ เช่น คำนาม (Noun) หรือคำคุณศัพท์ (Adjective) ฯลฯ เช่น
- active (adj.)-----------------activate (V.) = กระตุ้น
- light (adj.,adv.)-------------lighten (V.) = ทำให้เบาลง
- regular (adj.)----------------regulate, regularize (V.) = สม่ำเสมอ
- solid (n., adj.)--------------solidify (V.) = แข็ง
- sympathy (N.)--------------sympathize (V.) = เห็นอกเห็นใจ
- thick (N., adj.,adv.)------- thicken (V.) = หนา
3.รูปคุณศัพท์ (Adjective forms)
คำคุณศัพท์ (Adjective) เป็นคำที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำนาม หรือขยายคำนามหรืออธิบายเกี่ยวคำนาม โดยปกติแล้วคำคุณศัพท์จะวางอยู่หน้าคำนาม หรือหลังคำกริยา (Verb to be) ตัวอย่างเช่น
- Sarah is big-hearted.
- This guy is smart.
คำคุณศัพท์โดยปกติแล้วจะตอบคำถามชนิดใดหรือเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งที่กล่าวถึง คุณศัพท์มีรูปเดียว ซึ่งใช้กับนามเอกจน์และพหูพจน์ คำคุณศัพท์ (Adjective forms) นั้นเกิดขึ้นจากปัจจัย (Suffixes) ที่เพิ่มเติมเข้ามาตรงส่วนท้ายหรือลงท้ายของคำ หรือปัจจัย เช่น
- al/ ial
- ble/ inle
- ary
- ory
- ed
- er
- ful
- ic
- ile
- ing
- isih
- ive
- less
- like
- ly
- some
- ous
- worthy
- y
ตัวอย่าง คำคุณศัพท์ที่มาจากคำนาม มีดังต่อไปนี้
Noun Adjective
storm ----------stormy
friend-----------friendly
harm------------harmful
care-------------careful
wood------------wooden
danger----------dangerous
fame------------famous
honour----------honourable
trouble----------troublesome
quarrel---------quarrelsome
Iceland---------Icelandic
atom-----------atomic
talent----------talented
good nature---good natured
child------------childlike
god-------------godlike
brute-----------brutal
education------educational
America--------American
republic -------republican
Shakespeare --- Shakespearian
history -----------historic (- al)
economy---------economic (- al)
Turk--------------Turkish
girl---------------girlish
รูปคุณศัพท์ขั้นเปรียบเทียบ
* รูปขั้นกว่า (Comparative)
1.โดยการเติม –er ที่รูปขั้นธรรมดา เช่น
ขั้นธรรมดา --------- ขั้นกว่า
clear--------------clearer
sweet------------sweeter
soft---------------softer
2.โดยการเติม more ไว้หน้ารูปขั้นธรรมดา เช่น
ขั้นธรรมดา-------------ขั้นกว่า
beautiful ------------more beautiful
interesting-----------more interesting
splendid ----------more splendid
*รูปขั้นสูงสุด (Superative)
1. โดยการเติม – est ที่รูปขั้นธรรมดา เช่น
ขั้นธรรมดา------------ขั้นสูงสุด
clear----------------clearest
sweet--------------sweetest
soft----------------softest
2.โดยการเติม most ไว้หน้ารูปขั้นธรรมดา เช่น
ขั้นธรรมดา---------------ขั้นสูงสุด
beautiful---------most beautiful
interesting-------most interesting
splendid---------most splendid
รูปคุณศัพท์เปรียบเทียบพิเศษ
ขั้นธรรมดา (Positive)------ขั้นกว่า (Comparative)-------ขั้นสูงสุด (Superlative)
good(well)------------better--------------the best
bad (ill)---------------worse--------------the worst
little-------------------less (lesser)------the least
near-------------------nearer-------------the nearest (next)
much (many)---------more---------------the most
far---------------------farther (further)---the farthest (furthest)
late-------------------later (latter)-------the latest (last)
old--------------------older (elder)-------the oldest (eldest)
(out)------------------outer (utter)-------the outmost (utmost), the outermost (uttermost)
(up)-------------------upper---------------the upmost
(in)-------inner----------------the inmost, innermost
(fore)----former--------------the foremost, first
4.รูปกริยาวิเศษณ์ (Adverb forms)
กริยาวิเศษณ์ (Adverb) คือคำที่ทำหน้าที่ขยายกริยา กริยาวิเศษณ์ และคุณศัพท์ โดยปกติแล้วกริยาวิเศษณ์จะเป็นตัวตอยคำถามว่าอย่างไร (How) สำหรับกริยาวิเศษณ์แล้ว โดยทั่วไปเกิดขึ้นโดยการเติมท้ายคำคุณศัพท์ด้วย – ly เช่นคำว่า
brave (คุณศัพท์) -----bravely (กริยาวิเศษณ์) เป็นต้น
ตัวอย่างคำกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าทื่ขยายกริยา คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์และขยายทั้งประโยค
ดังตัวอย่าง
- He ran quickly. (ขยายกริยา ran)
- Come here (ขยาย come)
- I went to the dentist yesterday. (ขยายกริยา went)
- It is very hot today. (ขยายคำคุณศัพท์ hot)
- Are you quite comfortable? (ขยายคำคุณศัพท์ Comfortable)
- His work isn’t good enough for a scholarship. (ขยายคำคุณศัพท์ good)
- He plays extremely well. (ขยายกริยาวิเศษณ์ well)
- She drives too fast. (ขยายกริยาวิเศษณ์ fast)
แต่มีคำกริยาวิเศษณ์บางคำขยายทั้งประโยคได้เช่น
- Fortunately, I remembered in time who he was.
- Indeed, I won’t do it.
รูปคำกริยาวิเศษณ์ มักสร้างจากคำคุณศัพท์โดยการเติมท้ายด้วย – ly เช่น
Adjective Adverb
She is a quick worker. ----------She works quickly.
He is a careful driver.-----------He drives carefully.
They are noisy children.--------They play noisily.
She gave a merry laugh.-------She laughed merrily.
He gave a full explanation.-----He explained the whole thing fully.
ข้อยกเว้น สำหรับคำกริยาวิเศษณ์บางคำ เช่นคำว่า hard, fast และ high มีรูปเช่นเดียวกับคุณศัพท์ และคำคุณศัพท์บางคำลงท้ายด้วย – ly เช่นเดียวกับกริยาวิเศษณ์ เช่นคำว่า friendly, costly, yearly เป็นต้น
Written, described & illustrated by Big John
Published:2 July, 2011
Relate Topic | ||||
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น